(บทความในบล็อกนี้มีลิขสิทธิ์คุ้มครองตามกฏหมาย การคัดลอกส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้ประโยชน์ต้องได้รับความยินยอมจากผู้เขียน)
ไผ่เป็นพืชตระกูลหญ้าที่มีขนาดสูงและใหญ่ที่สุดในโลก และอาจนับเป็นพืชที่เจริญเติบโตเร็วที่สุดในโลก เคยมีบันทึกการเจริญเติบโตของไผ่บางสายพันธุ์ในประเทศจีนว่าสามารถยืดลำต้นและยอดได้สูงถึงวันละ1เมตร ไผ่เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของชาวเอเชียมาหลายพันปี ไผ่จึงแทรกอยู่ในลมหายใจเข้าออกของชาวตะวันออกไปแล้ว ทั้งที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค และอาหาร ล้วนได้พึ่งพาอาศัยไผ่ทั้งสิ้น
ไผ่บงหวาน เป็นที่รู้จักคุ้นเคยของชาวชนบทไทยมาช้านานในฐานะไผ่ที่ให้หน่อรสชาติดี เนื้อกรอบ หวาน แม้เมื่อผ่านความร้อนมาแล้วก็ยังคงความกรอบ หวาน ในตัว อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของไผ่บงหวาน ที่หาไม่ได้ในหน่อไม้จากไผ่พันธุ์อื่น ยิ่งเมื่อมีการตรวจสอบในห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐาน ระบุว่าหน่อไม้ไผ่บงหวานไม่มีไซยาไนด์เหมือนหน่อไม้ดิบทั่วไป นั่นเท่ากับประกาศว่าหน่อไม้ไผ่บงหวานสามารถรับประทานสดได้ จูงใจให้ผู้คนคิดค้นเมนูอันหลากหลายจากหน่อไม้ไผ่บงหวาน ทั้งคาวหวาน ล้วนเป็นเมนูที่ยากจะคาดคิดว่าจะทำออกมาจากหน่อไม้ไผ่บงหวาน เช่นเฟรนช์ฟราย ส้มตำ ทับทิมกรอบ หรือแม้แต่ผสมลงเนื้อขนม หรืออาหารคาวอีกหลายเมนูเพื่อเพิ่มความกรุบกรอบให้กับเมนูนั้นๆ ช่วยเพิ่มคุณค่าให้กับ หน่อไม้ไผ่บงหวานโดดเด่นขึ้นมาอีกมาก
มีงานวิจัยทางวิชาการบอกถึงคุณค่าของหน่อไม้ในแง่โภชนาการ และสุขภาพ ไว้อย่างน่าสนใจว่า
หน่อไม้
ช่วยลดน้ำหนักอย่างปลอดภัย
ปรับสมดุลโคเลสเตอรอล
กระต้นระบบภูมิคุ้มกัน
ต่อสู้กับมะเร็ง ต้านการอักเสบ
เป็นมิตรกับหัวใจ มีโปรตีน
อุดมไปด้วยวิตามินเกลือแร่
ไขมันต่ำมาก และยังอุดมไปด้วยใยอาหาร
หน่อไม้เป็นยอดอ่อนที่งอกมาจากตาข้างของต้นไผ่
เป็นพืชในตระกูลเดียวกับหญ้าที่กินได้
นับเป็นพืชตระกูลหญ้าที่ต้นใหญ่
และสูงที่สุด
เป็นที่ทราบกันดีว่าไผ่เป็นพืชที่โตเร็วที่สุดในโลก
สายพันธุ์ที่โตเร็วที่สุดคือ
Moso
พบในจีน
สามารถโตได้ถึง100เซนติเมตรภายในวันเดียว
ในวัฒนธรรมเอเชียและกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ
ทุกส่วนของไผ่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้
นับตั้งแต่การก่อสร้าง
พยุงที่อยู่อาศัย ก่อสร้างบ้าน
เครื่องเรือน เครื่องดนตรี
แม้แต่อุตสาหกรรมกระดาษก็ใช้ไผ่เป็นวัตถุดิบ
ไผ่จึงเป็นพืชที่ปรับใช้ประโยชน์ได้หลากหลายมาก
นอกจากการใช้ประโยชน์อย่างหลายจากต้นแล้ว
หน่อไม้ยังใช้บริโภคอย่างกว้างขวางในเอเชีย
ทั้งจีน เกาหลี ญี่ปุ่น
ไต้หวัน ไทย ฟิลิปปินส์
อินโดนีเซีย เนปาล และอินเดีย
มีหลักฐานการบริโภคหน่อไม้ในประเทศจีนปรากฏอยู่ในโคลงกลอนสมัยราชวงศ์ถัง
(ประมาณ
618
- 907 ก่อนคริสตกาล)
บรรยายถึงประโยชน์ของการบริโภคหน่อไม้
และนี่อาจเป็นบันทึกฉบับแรกที่บรรยายประโยชน์ของการบริโภคหน่อไม้ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
ยังมีเรื่องราวบันทึกไว้ในยุคราชวงศ์หมิงที่สืบย้อนกาลเวลาไปได้หลายพันปี
(1368-1600
ปีก่อนคริสตกาล)
กล่าวถึงประโยชน์ทางยาของหน่อไม้
ในวัฒนธรรมญี่ปุ่นยกย่องให้หน่อไม้ว่าคือ
“ราชาแห่งผักจากป่า” หรือ
“King
of Forest Vegetables”.
ต้นไผ่ที่ให้หน่อเพื่อการบริโภคมีหลากหลายสปีชี่มาก
แต่มีเพียงไม่กี่สายพันธุ์เท่านั้นที่มนุษย์ปลูกเพื่อการบริโภค
หน่อไม้เพื่อการบริโภคนำเสนอในรูปแบบที่หลากหลาย
ทั้งแบบสด และผ่านการถนอมอาหารมา
หน่อไม้สดสามารถอยู่ได้ประมาณ2สัปดาห์หากเก็บในตู้เย็น
และเก็บไม่ให้โดนแดด
มิฉะนั้นรสชาติจะขม
ขณะที่หน่อไม้กระป๋องสามารถเก็บไว้ได้นาน
อย่างก็ตามก่อนบริโภคควรต้มซ้ำ
หรือแช่น้ำข้ามคืน
เพราะบางสายพันธุ์มีไซยาไนด์
แต่จะสลายตัวเมื่อผ่านความร้อน
ข้อมูลด้านโภชนาการของหน่อไม้
อ้างอิงจากข้อมูลในงานวิจัยของมหาวิทยาลัยปัญจาบ
ใน Chandigarh
ประเทศอินเดีย
การศึกษานี้อยู่ภายใต้การควบคุมของ
Nirmala
Chongtham, Madho Singh Bhisht and Sheena Haorongbam ในรายงานระบุว่า
หน่อไม้อุดมไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย
ทั้งโปรตีน คาร์โบไฮเดรต
วิตามิน เกลือแร่ และใยอาหาร
ขณะที่ไขมันและน้ำตาลต่ำ
หน่อไม้ให้พลังงานต่ำ
ใน100กรัม
หน่อไม้ให้พลังงานเพียง20แคลอรี่
คาร์โบไฮเดรตที่พบในหน่อไม้มีเพียง3-4กรัมต่อหน่อไม้100กรัม
หน่อไม้มีน้ำตาลต่ำ
ปริมาณน้ำตาลที่พบในหน่อไม้มีเพียง2.5กรัมในหน่อไม้100กรัม
นับเป็นอัตราที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับผลไม้และผัก
ปริมาณไขมันที่พบในหน่อไม้มีเพียงน้อยนิด
ในหน่อไม้100กรัมพบไขมันน้อยกว่า0.49กรัม
ไขมันที่พบมีทั้งไขมันอิ่มตัวและไม่อิ่มตัว
หน่อไม้มีโปรตีนสูง
ใน100กรัม
พบโปรตีน2-2.5กรัม
โปรตีนที่พบในหน่อไม้มีกรดอมิโนจำเป็น17ชนิด
และกรดอมิโนกึ่งจำเป็น2ชนิด
วิตามินและเกลือแร่ในหน่อไม้
จากการวิจัย
พบว่าหน่อไม้อุดมไปด้วยวิตามินและเกลือแร่
วิตามินที่พบคือ A,
B6, E, thiamin, riboflavin, niacin, folate และกรด
pantothenic
ส่วนเกลือแร่ที่พบคือ
แคลเซียม แม็กนีเซียม ฟอสฟอรัส
โปแตสเซียม โซเดียม สังกะสี
ทองแดง แมงกานีส เซลีเนียม
และเหล็ก
หน่อไม้มีใยอาหารสูง
หน่อไม้เป็นสุดยอดของแหล่งใยอาหาร
ใน100
กรัมหน่อไม้มีใยอาหารสูงถึง6-8กรัม
หน่อไม้ช่วยเจริญอาหาร
หน่อไม้มีสารอาหารตัวหนึ่งชื่อว่า
cellulosic
ในปริมาณสูง
เป็นสารสำคัญที่ช่วยให้เจริญอาหาร
บวกกับเนื้อสัมผัสและรสชาติที่มีอยู่ในตัวยิ่งทำให้หน่อไม้อร่อยยิ่งขึ้น
หน่อไม้กับผลทางสุขภาพ
หน่อไม้เป็นอาหารยอดนิยมของผู้คนในหลายๆประเทศแถบเอเชีย
ทำให้มีปริมาณความต้องการเพิ่มขึ้นในตลาดทุกปีเช่นกัน
เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่าหน่อไม้มีประโยชน์ต่อสุขภาพ
ดังจะได้สาธยายดังต่อไปนี้
หน่อไม้ช่วยลดน้ำหนัก
หน่อไม้เป็นมิตรกับผู้ต้องการลดน้ำหนัก
พิจารณาจากปริมาณพลังงาน
คาร์โบไฮเดรต และน้ำตาลที่ได้จากหน่อไม้
จะเห็นได้ว่าสารอาหารที่ให้พลังงานเหล่านี้มีอยู่น้อยมาก
จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ต้องการลดน้ำหนักโดยไม่หิวโหย
หน่อไม้จะเป็นตัวเติมเต็มกระเพาะอาหารให้เรารู้สึกอิ่มในแต่ละมื้อ
หน่อไม้ช่วยปกป้องสุขพาพของหัวใจ
มีรายงานจากผลการวิจัยว่า
ไฟโตสเตอรอลส์ และ ไฟโตนิวเทรียนส์
ที่พบในหน่อไม้จะช่วยลดโคเลสเตอรอลตัวร้ายอย่างLDL
ในร่างกายได้
สารอาหารทั้งสองตัวจะช่วยนำโคเลสเตอรอลตัวร้ายออกจากหลอดเลือดอย่างนุ่มนวล
และสุดท้ายคือระบบภายในร่างกายจะขับสิ่งนี้ในรูปของของเสียออกมา
หน่อไม้ช่วยปกป้องสุขภาพหัวใจ
การบริโภคหน่อไม้จะทำให้โคเลสเตอรอลตัวร้าย
LDL
ในร่างกายลดลงโดยที่ระดับน้ำตาลในเลือดไม่ผันผวน
สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่ว่าหน่อไม้มีไขมันน้อยและให้พลังงานต่ำ
ในงานวิจัยของมหาวิทยาลัย
Washington
State ระบุว่าการบริโภคหน่อไม้มีผลดีต่อระดับโคเลสเตอรอล
ระดับไขมัน และระบบลำไส้
หน่อไม้กับการบำบัดมะเร็ง
มีงานวิจัยเกี่ยวกับหน่อไม้ระบุว่าในหน่อไม้มีสาร
ไฟโตสเตอรอลส์หลายตัวเช่น
flavone,
amylase, และ
chlorophyll
ซึ่งมีคุณสมบัติในการควบคุมการกลายพันธุ์และมะเร็ง
หน่อไม้ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น
วิตามินและเกลือแร่ที่มีอยู่ในหน่อไม้หลายตัวจะช่วยปรับระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายให้แข็งแรงขึ้น
วิตามินและแร่ธาตุ
รวมทั้งสารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในหน่อไม้ช่วยให้ระบบต่างๆในร่างกายแข็งแรงจากภายในสู่ภายนอก
หน่อไม้ช่วยให้การเคลื่อนตัวของลำไส้เป็นไปด้วยดี
ปริมาณใยอาหารที่มีอยู่มากในหน่อไม้ช่วยให้ลำไส้เคลื่อนตัวได้ดี
ช่วยลดน้ำหนัก
ระบบขับถ่ายดำเนินไปอย่างปกติในขณะที่ร่างกายเคลื่อนไหวน้อยในช่วงเวลากลางคืน
หน่อไม้มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ
จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัย
ปัญจาบ ในอินเดีย
พบว่าหน่อไม้มีสารต้านการอักเสบ
ลดอาการปวด
ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น
น้ำคั้นจากหน่อไม้สดยังสามารถใช้ทาแผลภายนอก
ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้นด้วย
หน่อไม้ช่วยบำบัดความผิดปกติของระบบทางเดินหายใจ
เป็นที่ทราบกันในหมู่ชาวพื้นเมืองในอินเดียว่าหน่อไม้ช่วยบำบัดความผิดปกติของระบบทางเดินหายใจ
โดยนำหน่อไม้ไปต้ม2ครั้ง
ครั้งแรกต้มนาน5นาที
เปลี่ยนน้ำทิ้งไปแล้วต้มอีกครั้ง10นาที
ดื่มน้ำต้มหน่อไม้นั้น
โดยเติมน้ำผี้งลงไปเล็กน้อยเพื่อให้ยามีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น
หน่อไม่ช่วยต้านพิษ
องค์ความรู้ในตำราอายุรเวชของอินเดียโบราณใช้สารสกัดจากหน่อไม้ช่วยต้านพิษได้ดี
ทั้งพิษงูและพิษแมลงป่อง
(โปรดศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการสกัดตัวยาก่อนนำไปใช้-ผู้เขียน)
หน่อไม้มีสารออกฤทธิ์กระตุ้นมดลูกให้บีบตัว
ตำราแพทย์แผนจีนเชื่อว่าหน่อไม้ทำให้มดลูกหดตัว
แพทย์แผนจีนใช้ตำรายานี้เป็นยาเสริมสำหรับการตั้งครรภ์เดือนสุดท้าย
หากไม่มีสัญญาณการคลอดเมื่อถึงเวลาสมควร
ในรายงานวิจัยของมหาวิทยาลัยเวียนนาโดย
Gruber
และ
O’Brien
ระบุว่าไผ่เป็นหนึ่งในหลายๆพืชสมุนไพรที่ใช้เพื่อการกระตุ้นมดลูกให้บีบตัว
หน่อไม้ช่วยรักษากระเพาะอาหารให้เป็นปกติ
หน่อไม้มีประโยชน์ในการรักษาความผิดปกติของกระเพาะอาหาร
และใบไผ่ยังใช้ขับพยาธิในลำใส้และความผิดปกติของกระเพาะอาหารด้วยเช่นกัน
หน่อไม้ทำความสะอาดแผล
หน่อไม้ใช้ทำความสะอาดแผลและบรรเทาอาการปวดบาดแผลได้
หน่อไม้ช่วยลดความดันโลหิต
หน่อไม้มีสารโปแตสเซียมสูง
โปแตสเซียมมีประสิทธิภาพสูงในการเป็นอิเลคโตรไลท์ที่ช่วยลดและปรับสมดุลย์ความดันโลหิต
จากประโยชน์ของหน่อไม้ที่กล่าวมา
เชื่อได้ว่าหน่อไม้เป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ
เมนูง่ายๆจากหน่อไม้คือต้มหน่อไม้แล้วรับประทานกับเนยหรือซอสถั่วเหลืองก็เป็นอีกเมนูง่ายๆที่อร่อยได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น